EQ คนประสบความสำเร็จและองค์กรต้องมี
“มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ได้เพราะรวมกลุ่มกันเป็นสังคม ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้เพราะทำงานเป็นทีม และมนุษย์ทุกคนต่างมีอารมณ์ความรู้สึก ดังนั้นการรู้จักบริหารอารมณ์ตัวเองและอารมณ์คนอื่นได้ จึงสำคัญอย่างมาก สิ่งนั้นเรียกว่า ความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional Intelligence เรียกย่อว่า EI แต่คนไทยมักคุ้นกับ EQ มากกว่า เพราะเรียกให้สอดคล้องกับ IQ)”
เป็นที่รู้กัน ว่า EQ คือความฉลาดทางอารมณ์ หรือการเป็นคนที่มีความยืดหยุ่น ปรับตัวได้ดี มีแรงผลักดันในการใช้ชีวิต มองโลกในแง่บวก แล้วเจ้าความฉลาดทางอารมณ์ สำคัญอย่างไรกับชีวิตการทำงานของเรากันล่ะ?
ในชีวิตการทำงานสิ่งที่เป็นใบเบิกทางของการทำงานสิ่งแรกคือ Hard skill ก็คือทักษะความรู้ความสามารถทางปัญญา หรือที่เรารู้จักกันว่า IQ แต่ในการทำงานให้มีประสิทธิภาพและก้าวหน้าอย่างรวดเร็วนั้นคุณจะใช้เพียง IQ อย่างเดียวไม่ได้
การมี EQ หรือความฉลาดทางอารมณ์ จะเข้ามาช่วยคุณในเรื่องของ ความยืดหยุ่นในการทำงาน การรู้จัดปรับตัวเข้ากับผู้อื่น มองโลกในแง้บวก สร้างแรงพลักดันในการทำงาน ซึ่งดีต่อองค์กร และเพื่อนร่วมงาน ยิ่งในยุคปัจจุบันที่ทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลงสูงและรวดเร็ว การมี EQ ที่ดีจึงมีประโยชน์อย่างยิ่ง
ข้อดีขององค์กรที่มีพนักงาน EQ สูง
1. ช่วยให้ทำงานร่วมกันอย่างราบลื่น
การที่งานจะออกมาอย่างมีประสิทธิภาพ ทีมงานต้องแข็งแกร่ง การสร้างทีม จึงต้องอาศัย EQ หรือความฉลาดทางอารมณ์เข้ามาช่วย หัวหน้างานควรต้องมีความฉลาดทางอารมณ์ เพื่อบริหารทีมได้อย่างมีประสิทธิภาพ และตรงสู่เส้นชัย ขณะเดียวกัน หากพนักงานภายในทีมต่างก็มี EQ ด้วยแล้ว จะยิ่งทำให้การทำงานเป็นไปอย่างลื่นไหล สื่อสารกันได้เข้าใจ โดยไม่ใช้อารมณ์มาตัดสิน
2. สร้างความสมดุลในการทำงานแบบ Work From Home
หลายคนต้องประสบกับปัญหาการ Work From Home แล้วทำให้สมดุลชีวิตหายไป เพราะเวลางานปนเปไปกับเวลาที่ใช้กับครอบครัว การทำงานเปลี่ยนจากเข้างาน 8 โมง เลิกงาน 5 โมง เป็นยืดหยุ่นเวลาเข้าออกงานมากขึ้น แต่กลับทำให้ชั่วโมงการทำงานเพิ่มขึ้นแบบไม่รู้ตัว EQ จะเข้ามาช่วยคุณจัดการทางอารมณ์และควบคุมจิตใจได้ หากคุณมีความฉลาดทางอารมณ์มากพอ ก็จะทำให้สามารถบริหารจัดการกับอารมณ์ที่เกิดจากชั่วโมงการทำงานที่มากขึ้น และรับมือกับอารมณ์จากเพื่อนร่วมงาน หรือแม้แต่อารมณ์ของลูกน้อง และหัวหน้างานได้เป็นอย่างดี
3. จัดการทางอารมณ์ระหว่างองค์กรและพนักงาน
ทั้งด้วยสภาพเศรษฐกิจ และสถานการณ์โควิดทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างลูกจ้าง และนายจ้างเปลี่ยนไป ขณะที่องค์กรคาดหวังกับปริมาณงานที่เพิ่มมากขึ้น และมีประสิทธิภาพมากขึ้น พนักงานก็คาดหวังกับผลตอบแทนในรูปแบบต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน ฉะนั้นการจัดการทางอารมณ์ที่ดีจะช่วยให้ทั้งพนักงานและองค์กรผ่านสถานการณ์วิกฤตนี้ไปได้
4. ช่วยให้เข้าใจพนักงาน Gen Z
2-3 ปีมานี้ องค์กรได้มีโอกาสเปิดรับพนักงานที่อยู่ในวัย Gen Z เข้ามาทำงาน ซึ่งจากผลวิจัยพบว่า คน Gen Z มีวิธีการทำงานต่างจากคน Gen อื่น ๆ พร้อมกับมีแนวโน้มจะเกิดความเหงาจากการทำงานมากกว่า Gen อื่น ๆ ถึง 73% และอยากได้รับความใส่ใจจากหัวหน้างานมากเป็นพิเศษ ฉะนั้น EQ ความฉลาดทางอารมณ์ จึงมีความสำคัญในการทำงานในปัจจุบันโดยเฉพาะกับคน Gen Z เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะหัวหน้างานที่ต้องเข้าใจความแตกต่างในแต่ละ Gen เพื่อให้งานสำเร็จลุล่วงไปได้นั่นเอง
ที่กล่าวมาคือข้อดีของการที่องค์กรมีพนักงานที่มี EQ ที่ดีในองค์กร แต่ในแนวทางส่วนตัวการมี EQ ที่ดีจะช่วยบริหารความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานอย่างดี ทำให้มีโอกาสประสบความสำเร็จในการทำงานมากกว่าคนอื่นที่มี EQ น้อยกว่า
ตัวอย่างงานวิจัยที่ยืนยันความสำคัญของการมี EQ ในบริษัท
- หัวหน้าที่มี EQ สูง ลูกน้องจะมีแนวโน้มลาออกลดลง -400%
- คนที่มี EQ สูงจะมีรายได้มากกว่าค่าเฉลี่ยคนทั่วไปเกือบ +1,000,000 บาทต่อปี
- ธุรกิจที่บริหารโดยผู้นำที่มี EQ สูง จะมีอัตราการเติบโตของกำไร +22% ต่อปี
- หัวหน้างานในโรงงานที่ได้รับการฝึกอบรมเรื่องการบริหารอารมณ์ ช่วยลดอัตราการเกิดอุบัติเหตุในโรงงานได้ -50%
- 90% ของคนที่มีผลการทำงานดีเลิศมี EQ สูง
- EQ เป็นปัจจัยความสำเร็จในการทำงานถึง 58%
จากงานวิจัยข้างต้นจะเห็นได้ว่า การที่หัวหน้างาน หรือพนักงานมี EQ สูง มีแนวโน้มประสบความสำเร็จในการทำงานสูงเช่นกัน
มาดู 5 เหตุผลว่าทำไมคนที่มีความฉลาดทางอารมณ์ถึงมีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่าคนอื่น
1. พวกเขาตระหนักรู้ตัวเอง
รู้ถึงอารมณ์ตัวเองว่าเป็นอย่างไร ชอบอะไร อยากทำอะไร เก่งอะไร ไม่ถนัดอะไร ต้องปรับแก้ไขตรงไหน ซึ่งคุณสมบัตินี้จำเป็นมากสำหรับคนที่ก้าวหน้าเร็วและเป็นผู้นำที่ประสบความสำเร็จ เพราะการรู้จักตัวเองทำให้ ทำงานและพัฒนาตัวเองได้อย่างถูกต้องไม่ไร้ทิศทางนั้นเอง
2. พวกเข้าควบคุมอารมณ์ได้
คนทั่วไปมักพลาดพลั้งด้วยอารมณ์ชั่ววูบ แต่คนมี EQ จะรู้จักที่จะยับยั้งชั่งใจ มีสติไม่พลาดจนเกิดความเสียหายภายหลัง การควบคุมตัวเองจะทำให้คุณไม่ไปทำร้ายคนอื่นไม่ว่าจะทางร่างกายหรือจิตใจ ทำให้ความสัมพันธ์กับคนอื่นเป็นไปในทางที่ดีและได้รับความรู้สึกดีๆจากพวกเขาเหล่านั้นกลับมาเช่นกัน
3. มีแรงจูงใจในตัวเอง
คนทั่วไป มักจะมีความขี้เกียจ ความท้อแท้ เบื่อหน่ายเป็นเรื่องปกติ แต่คนที่มี EQ ที่ดี เมื่อเกิดความรู้สึกเหล่านั้น มักจะมีวิธีนำพาตัวเองออกมาจากความรู้สึกที่แย่ๆ เพื่อเป้าหมายที่ยากและยิ่งใหญ่กว่าเสมอ จะไม่จมอยู่กับปัญหาหรือเรื่องแย่ๆ พร้อมที่จะเริ่มต้นอะไรใหม่ๆอย่างมีความสุขอีกครั้ง
4. เข้าใจคนอื่นได้ดี
“การฟัง” ถือเป็นสุดยอดกุญแจแห่งความสำเร็จในความสัมพันธ์และการทำงานร่วมกัน คนที่มี EQ ที่ดีจะพยายามหาวิธีเข้าใจความรู้สึก ความคิด มุมมอง และประสบการณ์ของอีกฝ่ายให้ได้ การเห็นอกเห็นใจคนอื่น เอาใจเขามาใส่ใจเรา นั่นช่วยขับเคลื่อนให้ความสัมพันธ์เจริญงอกงาม ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการร่วมใจกันทำบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่เกินที่บุคคลหนึ่งบุคคลใดจะทำสำเร็จเองได้
5. บริหารคนเก่ง
คนเหล่านี้จะมีวิธีทำให้คนที่โมโหนั้นสงบลง พวกเขามีวิธีพูด มีวาทะศิลป์ รวมทั้งมีอารมณ์ขัน เวลาที่ใครบางคนเศร้า พวกเขาก็จะมีวิธีปลอบใจให้รู้สึกดีขึ้น ซึ่งทักษะนี้สำคัญสำหรับคนที่เป็นผู้นำอย่างมาก รวมถึงการสามารถเข้าสังคมได้อย่างกลมกลืน การโน้มน้าวใจให้คนคล้อยตามหรือทำตามได้ เพราะพวกเขาจะรู้ว่าต้องพูดอย่างไร หรือทำอย่างไร คนอื่นจึงจะคล้อยตามหรืออินไปกับสิ่งที่เขาต้องการ เช่น หากเป็นพนักงานขาย พวกเขาก็จะมีวิธีเจาะไปยังปัญหา และความต้องการอันแท้จริงของลูกค้า จนได้ใจลูกค้า และเขายอมควักเงินในที่สุด
สรุป…จากที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมดนั้น จะเห็นได้ว่าการที่มี EQ ที่ดีจะสามารถสร้างทั้งโอกาสในการทำงานและการใช้ชีวิตของคุณให้มีความสุขขึ้นมาได้ หากวันนี้คุณยังรู้สึกว่ายังเป็นคนที่มี EQ น้อยมาก คุณก็ควรจะเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับการพัฒนา EQ ได้แล้วเพื่อเพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จทั้งในงาน ชีวิตส่วนตัว และความสัมพันธ์ จงเริ่มพัฒนาตัวเองตั้งแต่ตอนนี้ เพื่อสร้างพื้นฐานที่ดีให้กับชีวิตของคุณ “เพราะทักษะทุกอย่างล้วนสร้างได้ ความฉลาดทางอารมณ์ก็เช่นกัน”